วิถีชีวิตของชาวมุสลิม
วิถีชีวิตของชาวมุสลิมในภาคใต้ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพด้านการเกษตร ด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และทำการประมง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน พอมีพอกิน ส่วนมุสลิมในภาคอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะมีฐานะค่อนข้างดีเช่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าเนื้อเป็นหลัก ในภาคกลางและในกรุงเทพมหานครชาวมุสลิมจะมีฐานะดี เป็นเจ้าของที่ดินที่มีราคาสูงและชาวมุสลิมส่วนใหญ่จะเลือกที่อยู่ติดกับแม่ลำคลอง
ประเพณีของอิสลาม เมื่อมีคนเสียชีวิตชาวบ้านก็จะช่วยกันขุดหลุมศพ ปั้นลูกดินขนาดใหญ่เพื่อใส่ในหลุม จะมีผู้คนไปร่วมหลับนอนในบ้านที่มีคนเสียชีวิตและจะมีการจุดไฟสว่างไสวเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตไปแล้ว ในการอาบน้ำศพผู้เสียชีวิตญาติที่เป็นชายหรือบุตรผู้ตายจะเข้าไปช่วยอาบน้ำศพให้พ่อ ส่วนบุตรสาวหรือญาติที่เป็นสตรีจะเป็นผู้อาบน้ำศพให้แม่ ผู้ชายเมื่อเสียชีวิตจะห่อด้วยผ้าขาว 3 ผืน ส่วนผู้หญิงจะห่อด้วยผ้าขาว 5 ผืน ลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ อิสลามจะมีวัฒนธรรมเหมือนกันหมดโดยที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน ฉะนั้นคำว่าอิสลามจึงมีความหมายกว้างขวาง สำหรับมุสลิมแล้วถือว่าอิสลามเป็นวิถีชีวิต ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม ในส่วนของการปฏิบัติตามหลักศาสนาจะเหมือนกันหมดสำหรับมุสลิมในประเทศไทย เช่น การถือศีลอด การไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย การออกทานบังคับหรือซะกาตร้อยละ 2.5 ในสังคมมุสลิมถือว่ามัศยิดเป็นศูนย์รวมของจิตใจ ฉะนั้นมัศยิดจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเป็นสถานที่รวมตัวกัน ฉะนั้นจึงมีคำสอนของอิสลามว่าเวลาละหมาดไปทำที่มัศยิด ความมุ่งหมายเพื่อให้คนได้มารวมตัวกันให้รู้จักกันและอิสลามนั้นไม่มีการแบ่งสีผิวเผ่าพันธุ์ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ศาสนาอิสลามมีความเรียบง่ายและการสักการะบูชานั้นจะสักการะเฉพาะพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว
การแต่งกายของชาวมุสลิม การแต่งกายได้ตามหลักศาสนาอิสลามที่เรียกว่า ฮิญาบ (Hijab) ผู้หญิงจะต้องปกปิดทุกส่วนในร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือที่สามารถเปิดได้ ส่วนการแต่งกายของผู้ชายจะต้องปิดตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า สำหรับการตั้งชื่อของชาวไทยมุสลิมนั้นสามารถตั้งชื่อเป็นภาษาอาหรับอันเป็นภาษาศาสนาได้ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ให้โอกาสของความเท่าเทียมกันในการใช้ชื่อที่มาจากภาษาอาหรับอันเป็นภาษาของศาสนาอิสลาม
เรื่องการแต่งกายนี้ ผู้เรียบเรียงเคยถามผู้หญิงรุ่นพี่ที่เป็นชาวไทยมุสลิม ถึงการแต่งกายของผู้หญิงที่ต้องปกปิด รุ่นพี่บอกว่าการที่หญิงต้องแต่งกายปกปิดเปิดได้บริเวณใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้น เนื่องจากแถบตะวันออกกลางซึ่งมีภูมิประเทศเป็นทะเลทราย ร้อนและแห้งแล้ง ในทะเลทรายจะมีลมพัดและมีพายุซึ่งจะพัดพาเอาทรายมาใส่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย จึงต้องมีสิ่งปกปิดร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจากทราย แสงแดดที่ร้อนแรง และเชื้อโรคที่อาจมากับลมและทราย เพื่อให้ตนเองมีความปลอดภัย และจากการที่เคยไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัดยะลาเมื่อนานมาแล้วทำให้เข้าใจว่า คำสอนทางศาสนาอิสลามก็มีความคล้ายคลึงกันกับหลักของศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่ของอิสลามสอนย้ำให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้าด้วยการไป "ละหมาด” วันละ 5 เวลา และจะ ไม่ทำ ประพฤติ ปฏิบัติ อะไรที่ผิดไปจากคำสอนในคัมภีร์อัลกุระอานล์ ถ้าทำก็เป็นบาบและพระเป็นเจ้าจะพิพากษาและลงโทษคนบาบนั้น
ประเพณีของอิสลาม เมื่อมีคนเสียชีวิตชาวบ้านก็จะช่วยกันขุดหลุมศพ ปั้นลูกดินขนาดใหญ่เพื่อใส่ในหลุม จะมีผู้คนไปร่วมหลับนอนในบ้านที่มีคนเสียชีวิตและจะมีการจุดไฟสว่างไสวเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตไปแล้ว ในการอาบน้ำศพผู้เสียชีวิตญาติที่เป็นชายหรือบุตรผู้ตายจะเข้าไปช่วยอาบน้ำศพให้พ่อ ส่วนบุตรสาวหรือญาติที่เป็นสตรีจะเป็นผู้อาบน้ำศพให้แม่ ผู้ชายเมื่อเสียชีวิตจะห่อด้วยผ้าขาว 3 ผืน ส่วนผู้หญิงจะห่อด้วยผ้าขาว 5 ผืน ลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ อิสลามจะมีวัฒนธรรมเหมือนกันหมดโดยที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน ฉะนั้นคำว่าอิสลามจึงมีความหมายกว้างขวาง สำหรับมุสลิมแล้วถือว่าอิสลามเป็นวิถีชีวิต ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม ในส่วนของการปฏิบัติตามหลักศาสนาจะเหมือนกันหมดสำหรับมุสลิมในประเทศไทย เช่น การถือศีลอด การไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย การออกทานบังคับหรือซะกาตร้อยละ 2.5 ในสังคมมุสลิมถือว่ามัศยิดเป็นศูนย์รวมของจิตใจ ฉะนั้นมัศยิดจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเป็นสถานที่รวมตัวกัน ฉะนั้นจึงมีคำสอนของอิสลามว่าเวลาละหมาดไปทำที่มัศยิด ความมุ่งหมายเพื่อให้คนได้มารวมตัวกันให้รู้จักกันและอิสลามนั้นไม่มีการแบ่งสีผิวเผ่าพันธุ์ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ศาสนาอิสลามมีความเรียบง่ายและการสักการะบูชานั้นจะสักการะเฉพาะพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว
การแต่งกายของชาวมุสลิม การแต่งกายได้ตามหลักศาสนาอิสลามที่เรียกว่า ฮิญาบ (Hijab) ผู้หญิงจะต้องปกปิดทุกส่วนในร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือที่สามารถเปิดได้ ส่วนการแต่งกายของผู้ชายจะต้องปิดตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า สำหรับการตั้งชื่อของชาวไทยมุสลิมนั้นสามารถตั้งชื่อเป็นภาษาอาหรับอันเป็นภาษาศาสนาได้ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ให้โอกาสของความเท่าเทียมกันในการใช้ชื่อที่มาจากภาษาอาหรับอันเป็นภาษาของศาสนาอิสลาม
เรื่องการแต่งกายนี้ ผู้เรียบเรียงเคยถามผู้หญิงรุ่นพี่ที่เป็นชาวไทยมุสลิม ถึงการแต่งกายของผู้หญิงที่ต้องปกปิด รุ่นพี่บอกว่าการที่หญิงต้องแต่งกายปกปิดเปิดได้บริเวณใบหน้าและฝ่ามือเท่านั้น เนื่องจากแถบตะวันออกกลางซึ่งมีภูมิประเทศเป็นทะเลทราย ร้อนและแห้งแล้ง ในทะเลทรายจะมีลมพัดและมีพายุซึ่งจะพัดพาเอาทรายมาใส่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย จึงต้องมีสิ่งปกปิดร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจากทราย แสงแดดที่ร้อนแรง และเชื้อโรคที่อาจมากับลมและทราย เพื่อให้ตนเองมีความปลอดภัย และจากการที่เคยไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัดยะลาเมื่อนานมาแล้วทำให้เข้าใจว่า คำสอนทางศาสนาอิสลามก็มีความคล้ายคลึงกันกับหลักของศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่ของอิสลามสอนย้ำให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้าด้วยการไป "ละหมาด” วันละ 5 เวลา และจะ ไม่ทำ ประพฤติ ปฏิบัติ อะไรที่ผิดไปจากคำสอนในคัมภีร์อัลกุระอานล์ ถ้าทำก็เป็นบาบและพระเป็นเจ้าจะพิพากษาและลงโทษคนบาบนั้น